LAN (Local Area Network) เป็นลักษณะการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันภายในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เครือข่าย LAN ออกมาเพื่อให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันในส่วนต่างๆ ขององค์กรในบริเวณที่ไม่ไกลกันมาก เช่นอยู่ในอาคารเดียวกัน ระหว่างชั้นอาคาร สามารถดูแลได้เองโดยไม่ต้องใช้ระบบสื่อสารข้อมูลแบบอื่น
รูปแบบการเชื่อมโยง LAN ในสำนักงาน
องค์ประกอบสำคัญของเครือข่าย LAN
องค์ประกอบที่สำคัญสำหรับเครือข่ายท้องถิ่นสามารถแยกออกเป็นส่วน ๆ ได้ดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์
2. สายสื่อสาร
3. LAN ซอฟต์แวร์
4. รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือโทโปโลยี(Topology)
5. เทคนิคการส่งสัญญาณ
6. LAN โปรโตคอล
การเชื่อมโยงเครือข่าย LAN มี 4 รูปแบบ ดังนี้
1.Ethernet LAN มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-1000 Mbps. ใช้พี้นฐาน Topology แบบบัส โดยอุปกรณ์ทุกอย่างจะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียว โดยต้องมีการจัดการเรื่องการสื่อสารไม่ให้รับส่งพร้อมกันเกินกว่าหนึ่งคู่ โดยให้อุปกรณ์ที่จะส่งข้อมูลตรวจสอบว่ามีข้อมูลใดวิ่งอยู่บนสายหรือไม่ หากไม่มีจึงส่งได้ และถ้ามีการชนกันของข้อมูลบนสายก็จะส่งใหม่
2.Token Ring มีความเร็ว 16 Mbps เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนโดยแพ็กเกจข้อมูลจะวิ่งวนในทิศทางใดทางหนึ่ง ถ้าทราบแอดเดรสปลายทางแล้ว Token จะถูกระบุว่าปลายทางอยู่ไหน Token จะถูกส่งไปเลย จนเจอปลายทาง แล้ว Token จะถูกปล่อยเพื่อให้ผู้อื่นใช้ต่อไป อุปกรณ์นั้นจะรับข้อมูลไป การจัดการรับส่งข้อมูลในวงแหวนจึงเป็นไปอย่างมีระเบียบ
3.ARCNET เป็นเทคดนโลยีที่ใช้ Token-bus ในการจัดการ line sharing ระหว่างเครื่องลูกข่ายและอุปกรณ์อื่นๆ เครื่องแม่ข่ายจะส่งเฟรมข้อความเปล่าไปตาม Bus เมื่ออุปกรณ์ต้องการจะส่งข้อมูลก็จะใส่ Token ไปด้วย ในเฟรมข้อมูลเปล่าจะที่ฝากข้อมูลไปด้วย เมื่ออุปกรณ์จุดหมายได้รับก็ใส่ Token เป็น 0 ลงไปแทน เฟรมนนั้นก็จะพร้อมนำกลับมาใช้ได้ใหม่
4.FDDI (Fiber Distributed Data Interface) ทำงานบนสาย Fiber Optic ทำงานได้ระยะไกลถึง 200 กิโลเมตร ใช้ Protocol ของ Token Ring โดยจะมี Token Ring ซ้อนกัน 2 วง เป็น Back up กันและกันให้บริการได้ถึง 100 Mbps
การเชื่อมโยงเครือข่าย LAN ที่นิยมใช้กันมี 2 รูปแบบดังนี้
2.1 เครือข่าย LAN แบบอีเทอร์เน็ต มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100 Mbps. มีพื้นฐานรูปแบบการเชื่อมโยงร่วมกันแบบบัส คือ ทุกอุปกรณ์จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียว ดังนั้นการรับส่งต้องมีการจัดการไม่ให้รับส่งพร้อมกันเกินกว่าหนึ่งคู่ ขบวนการรับส่งข้อมูลจึงถูกกำหนดขึ้น โดยให้อุปกรณ์ที่จะส่งข้อมูลตรวจสอบว่ามีข้อมูลใดวิ่งอยู่บนสายหรือไม่ หากไม่มีจึงส่งได้ และถ้ามีการชนกันของข้อมูลบนสายก็จะส่งใหม่ การหลีกเลี่ยงการชนกันจึงกระทำได้ในเครือข่ายระยะใกล้
2.2 เครือข่าย LAN แบบโทเก็นริง มีความเร็ว 16 Mbps. เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนโดยแพ็กเก็ตข้อมูลจะวิ่งวนในทิศทางใดทางหนึ่ง ถ้ามีแอดเดรสปลายทางเป็นของใคร อุปกรณ์นั้นจะรับข้อมูลไป การจัดการรับส่งข้อมูลในวงแหวนจึงเป็นไปอย่างมีระเบียบ
เครือข่าย LAN ที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกันสามารถเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่ทุกตัวจะมีแอดเดรสประจำ และแอดเดรสเหล่านี้จะซ้ำกันไม่ได้ โดยปกติผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายได้กำหนดแอดเดรสเหล่านี้มาให้แล้ว
แลน โปรโตคอล (Protocol LAN)
โปรโตคอล (Protocol) คือระเบียบพิธีการในการติดต่อสื่อสาร เมื่อมาใช้กับเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม จึงหมายถึงขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร ซึ่งรวมถึง กฎ ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมถึงมาตรฐานที่ใช้ เพื่อให้ตัวรับและตัวส่งสามารถดำเนินกิจกรรมทางด้านสื่อสารได้สำเร็จ
ระบบ LAN ที่นิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ Ethernet, Token Ring และ FDDI โปรโตคอลที่ใช้ประกอบเป็น LAN ตามมาตรฐานข้อกำหนด จึงจัดอยู่ในระดับโปรโตคอลระดับ 1 และ 2 เท่านั้น
อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็น LAN ที่มีผู้นิยมใช้กันมาก อีเทอร์เน็ตมีโปรโตคอลในระดับชั้นฟิสิคัล (Physical) ได้หลายรูปแบบ ตามสภาพความเร็วของการรับส่งข้อมูล รูปแบบสัญญาณและตัวกลางที่ใช้รับส่ง การกำหนดชื่อของ LAN แบบนี้ใช้วิธีการกำหนดเป็น XXBASEY เมื่อ XX คือความเร็ว BASE คือวิธีการส่งสัญญาณเป็นแบบ Digital Baseband ส่วน Y คือตัวกลางที่ใช้ส่งสัญญาณ เช่น 10BASE2 หมายถึงส่งความเร็ว 10 เมกะบิต แบบ Thin Ethernet ตัวกลางเป็นสายโคแอกเชียล 10BASE-T หมายถึงส่งความเร็ว 10 เมกะบิต แบบสาย UTP และถ้า 10BASE-FL ก็จะเป็นการใข้สายเส้นใยแก้วนำแสง
สัญญาณทางไฟฟ้าของอีเทอร์เน็ตเป็นแบบดิจิตอล จึงทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องระยะทางที่ใช้ระเบียบข้อกำหนดเหล่านี้จึงอยู่ในกลุ่มโปรโตคอลระดับฟิสิคัล ส่วนในระดับโปรโตคอลดาต้าลิงค์เป็นวิธีการกำหนดแอดเดรสระหว่างกันในเครือข่าย ซึ่งแต่ละสถานีจะมีแอดเดรสเป็นตัวเลขขนาด 48 บิต การรับส่งเป็นการสร้างข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเรียกว่า "เฟรม" การส่งข้อมูลมีวิธีการใส่ข้อมูลแอดเดรสต้นทางและปลายทางและส่งกระจายออกไป ผู้รับจะตรวจสอบแอดเดรสของเฟรมถ้าตรงกับแอดเดรสตนก็จะรับข้อมูลเข้ามา
FDDI เป็น LAN
อีกชนิดหนึ่งที่ใช้เส้นใยแก้วนำแสงเป็นตัวกลางมีความเร็วในการรับส่ง 100 เมกะบิตต่อวินาที รูปแบบของเครือข่ายเป็นแบบวงแหวน การรับส่งภายในวงแหวนใช้โปรโตคอลแบบโทเก็นพาสซิ่ง (Token Passing)
โทเก็นริง (Token Ring) ระบบ LAN ที่ใช้โครงสร้างเชื่อมโยงแบบวงแหวน แต่ใช้ตัวกลางเป็นสาย UTP การรับส่งสัญญาณเป็นแบบ Digital Baseband ความเร็วในการรับส่งมีทั้งแบบ 4 เมกะบิตต่อวินาที และ 16 เมกะบิตต่อวินาที
การกำหนดโปรโตคอลใน FDDI และ Token Ring ในระดับดาต้าลิงค์ ใช้รูปแบบข้อมูลเป็นเฟรม อุปกรณ์แต่ละตัวมีแอดเดรสประจำ การรับส่งข้อมูล ส่งต่อตามบำดับตามเส้นทางของสายต่อที่เป็นวงแหวน ตัวรับจะตรวจสอบแอดเดรส ซึ่งตัวตรงกับของตนก็จะคัดลอกข้อมูลขึ้นมา แล้วตอบรับว่าได้รับข้อมูลนั้นแล้ว
จะเห็นได้ชัดว่า โปรโตคอลของ LAN ใน 2 ระดับล่าง เป็นการสื่อสารกันในกลุ่มของตนเอง ภายใต้กลุ่ม LAN นั้น ๆ เท่านั้น เช่น ถ้าเป็น Ethernet ก็จะสื่อสารกันในอุปกรณ์ที่ต่ออยู่ในกลุ่มนั้นเท่านั้น
เมื่อนำ LAN ต่างกลุ่มมาต่อเชื่อมรวมกัน การเชื่อมรวมกันนี้อาจเป็น LAN ที่ใช้โปรโตคอลเหมือนกัน หรือต่างกันก็ได้ เช่น นำ Ethernet มาเชื่อมต่อกับ Ethernet หรือ Ethernet กับ Token Ring การเชื่อมต่อระหว่าง LAN ด้วยกันนี้ จำเป็นต้องมีโปรโตคอล ช่วยในการติดต่อระหว่างกัน โปรโตคอลในระดับนี้จึงอยู่ในชั้นระดับสามคือ โปรโตคอลชั้นเน็ตเวิร์ค
โปรโตคอลชั้นเน็ตเวิร์ค
ในระดับสามนี้ทำหน้าที่เชื่องโยงระหว่างเครือข่ายย่อย เราอาจเรียกโปรโตคอลนี้ว่า เราติ้งโปรโตคอล (Routing Protocol) การกำหนดเส้นทางนี้จะต้องวางมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมโยงอุปกรณ์ ซึ่งมาจากระดับล่างหลาย ๆ มาตรฐาน วิธีการหนึ่งที่นิยมคือ การกำหนดแอดเดรสของอุปกรณ์ระดับล่างใหม่ และให้แอดเดรสเป็นมาตรฐานกลาง เช่น การใช้โปรโตคอลดินเตอร์เน็ต (IP) ทุกอุปกรณ์มีแอดเดรสของตนเองมีการสร้างรูปแบบฟอร์แมตข้อมูลใหม่ที่เรียกว่า แพ็กเก็ต (Packet) ดังนั้น โปรโตคอลในระดับนี้จึงรับส่งข้อมูลกันเป็นแพ็กเก็ต ทุกแพ็กเก็ตมีการกำหนดแอดเดรสต้นทางและปลายทางโดยไม่ต้องคำนึงว่าระดับล่างอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับส่ง และรับรู้โปรโตคอลในระดับเน็ตเวิร์คนี้จะทำหน้าที่เป็นแปลงแพ็กเก็ตให้เข้าสู่เฟรมข้อมูลในระดับสอง และรับเฟรมข้อมูลระดับสองเปลี่ยนมาเป็นแพ็กเก็ตในระดับสามเช่นกัน ข้อเด่นในที่นี้ คือ ทำให้สามารถเชื่อม LAN ทุกมาตรฐานเข้าด้วยกันได้ ในระดับนี้ยังมีมาตรฐานโปรโตคอลอื่น ๆ เช่น IPX ของบริษัทแน็ตแวร์ เป็นต้น
อุปกรณ์ในระบบเครือข่าย LAN
1.LAN Card
คือ Card ที่จะติดตั้งภายในเครื่อง PC ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก เท่ากับ VGA Card หรือ Sound Card สำหรับ LAN Card ยังแบ่งออกได้หลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นกับความเร็วที่ต้องการ เช่น 10 Mbps, 10/100 Mbps, 100 Mbps เป็นต้น
2.LAN Cable
คือ สายสัญญาณที่มีลักษณะคล้ายสายโทรศัพท์ ที่นิยมใช้มีดังนี้ UTB, STB ซึ่งการเลือกสายแต่ละประเภทนี้จะขึ้นกับการนำ ไปใช้ เช่น ติดตั้งภายใน ภายนอก หรือระยะทางไกลแค่ไหน เป็นต้น
3.HUB
คือ อุปกรณ์ที่ใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการกระจายสัญญาณ หรือข้อมูล โดยปกติการเลือก Hub จะดูที่จำนวน Port ที่ต้องการ เช่น 8 ports, 12 ports, 24 ports
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ใน LAN
เทอร์มินันท์ของผู้ใช้ เราอาจเรียกได้ว่า Workstation หรือ Node ได้แก่ PC จอเทอร์มินันท์ และอุปกรณ์การพิมพ์ สำหรับผู้ใช้งานสามารถติดต่อ
ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ โดยทั่วไป คือ ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งทำหน้าที่เก็บแฟ้มข้อมูลแอฟพลิเคชันซอร์แวร์ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อบริการเทอร์มินัลให้กับผู้ใช้งานภายในเครือข่าย ในเครือข่ายแลนทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่จะมีเพียงไฟล์เซิร์ฟเวอร์เดียว แต่ระบบแลนสมารถมีไฟล์เซิร์ฟเวอร์มากกว่า 1 เครื่องได้
แผงอะแดปเตอร์เชื่อมต่อเครือข่าย หรือ NAC (Network Adapter Card) หรือที่เรียกว่าแผงอินเตอร์เฟช NIC(Network Interface Card) แต่โดยทั่วไปเรียกว่า LAN การ์ด หน้าที่ของแลนการ์ดก็ทำหน้าที่เหมือนกับ RS-322-C ของเครื่องพีซี ซึ่งใช้สำหรับเชื่อมต่อสายข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์สาธารณะผ่านทางโมเด็ม สำหรับแลนการ์ดที่ทำหน้าที่ในการส่งข้องมูลจากพีซี หรือสเตชั่นเข่าสู่เครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากเครือข่ายเข้าสู่สเตชั่น โดยปกติสเตชั่นจะมีแลนด์การ์ดติดอยู่ด้วย
คอนเนคเตอร์หรืออินเตอร์เฟช(Conector หรือ Interfce) เป็นกล่องหรือแผงวงจรอิดล็กทรอนิกส์ที่ใช่เชื่อมต่อเทอร์มินัลหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้าเครือข่าย
ทรานซีฟเวอร์ (Transceiver) หรือ AUI(Attachment Unit Interface) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อการสื่อสารของสเตชั่นเข้ากับเครือข่ายเช่นเดียวกับคอนเนคเตอร์และอินเตอร์เฟช ในเครือข่ายแลนทั่วไป ทรานสซีฟเวอร์จะอยู่ในแลนการ์ด แต่เครือข่ายแลนบางแบบ เช่น LAN แบบ Ethernet อาจใช้ทรานซีฟเวอร์เชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับเครือข่าย เพื่อเชื่อมโยงการสื่อสารเข้ากับสเตชั่น
คอนโทรเลอร์ Controller) หรืออุปกรณ์ควบคุมเครือข่าย คอนโทรลเลอร์เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมเส้นทางในการการสื่อสารรับ-ส่งข้อมูล จัดระบบการำงานเครือข่าย รวมทั้งการควบคุมการทำงานของสเตชั่นได้ด้วย ในระบบเครือข่ายแลนส่วนใหญ่ คอนโทรลเลอร์จะรวมอยู่กับไฟล์เซิร์ฟเวอร์ แต่สามารถจะแยกออกมาเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องเดี่ยว ๆ ได้
บริดส์ เป็นอุปกรณ์ IWU(InterWorking Unit) ที่ใช้การติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างเครือข่ายแลน 2 เครือข่ายที่มีโปรโตคอลเหมือนกันหรือต่างกัน บริดส์จะรับแพคเกจข้อมูลจากสเตชันผู้ส่งในเครือข่ายต้นทาง ทำการตรวจสอบตำแหน่งปลายทาง จากนั้นก็ส่งแพคเก็จข้อมูลทั้งหมดไปยังเครือข่ายปลายทาง
เราเตอร์ เป็นอุปกรณ์ IWU เช่นเดียวกันกับบริดส์แต่มีประสิทธิภาพที่สูงกว่าคือสามารถติดต่อสื่อสารระหว่าเครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่า เราเตอร์นอกจากจะทำหน้าที่รับส่งข้อมูลให้กับเครือข่ายแล้ว เราเตอร์ยังมีความสามารถในการตัดสินใจเลือกเส้นทางสื่อสารข้อมูลที่ดีที่สุดให้กับข้อมูลได้อีกด้วย เราเตอร์จะทำงานอยู่เลเยอร์ชั้น Network ของรูปแบบ OSI
จึงช่วยในการขยายรอบวงการสื่อสารเครือข่ายระบบแลน ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือมากกว่าที่อยู่ในต่างเครือข่ายกันซึ่งอาจจะมีลักษณะของเครือข่ายที่เหมือนกันหรือต่างกัน ให้สามารถติดต่อส่งข้อมูลกันได้
ตาราง 1 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ BUS/TREE
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วข้อมูล Mbps
ระยะทาง(กม.)
จำนวนของแทป
สายเกลียวคู่
1-10
< 2
10-100
สายโคแอกเชียวเบสแบนด์
10 และ 50
< 3
100-1000
สายโคแอกเชียวบรอดแบนด์
500(20ต่อ1ช่องทาง)
< 30
1000-10000
ตาราง 2 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ Passive หรือ Active STAR
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วข้อมูล Mbps
ระยะทางจากสเตชั่นถึงศูนย์กลาง (กม.)
จำนวนสเตชั่น
สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์
1-10
0.5(1 Mbps) 0.1(10 Mbsp)
10-100
สายโคแอกเชียวเบสแบนด์
70
< 1
10-100
สายไฟเบอร์ออปติก
10-20
< 1
10-100
ตาราง 3 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ RING
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วของข้อมูล(Mbps)
ระยะทางระหว่างรีพีตเตอร์ (กม.)
จำนวนรีพีตเตอร์
สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์
4
0.1
72
สายเกลียวคู่แบบมีชีลด์
16
0.3
250
สายโคแอกเชียลเบสแบนด์
16
1.0
250
สายไฟเบอร์ออปติก
100
2.0
240
และในตาราง 4 และ 5 ด้านล่างเป็นตัวอย่างของชนิดของสายสื่อสารแบบเกลียวคู่ และแบบโคแอก เชียลที่มีขายในท้องตลาดทั่วไป ที่ใช้การเชื่อมโยงภายในเครือข่าย LAN ที่มีรูปแบบและประเภทของข้อมูล ต่าง ๆ กัน
ข้อดีและข้อจำกัดของระบบแลน
ข้อดี***
การแชร์หรือการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
1.แชร์ฮาร์ดแวร์ มี 3 ประเภท คือ
- หน่วยความจำ (Mass Storage Server) ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ เทปไดรฟ์ และออ-ปติกดิสก์
- อุปกรณ์เอาต์พุต (Output server) ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์ เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เครื่องพรอตเตอร์ และจอวีดีโอขนาดใหญ่
- อุปกรณ์การสื่อสาร (Communication server) ได้แก่โมเด็ม บริดส์ เราเตอร์ เกตเวย์ และเครื่องแฟกซ์
2.สะดวกกับผู้ใช้งาน
1. ผู้ใช้สามารถเข้าสู่เครือข่ายได้ง่าย
2. ตัดปัญหาเรื่องไฟล์ข้อมูลสูญหาย หรือต้องเตรียมไฟล์ข้อมูลสำรอง เพราะเซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่ไฟล์สำรองแทน 3.สะดวกกับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าไปใช้ไฟล์ข้อมูลของผู้ใช้งานอีกจุดหนึ่งซึ่งใช้เก็บสำรองไฟล์ข้อมูลนั้นไว้ในไฟล์เซิร์ฟเวอร์
4.สามารถส่งข้อความตอบโต้กันระหว่างกันโดยง่ายระหว่างผู้ใช้ด้วยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
5.ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ฮาร์ดแวร์คุณภาพดี ๆ ได้
6.ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารข้อมูล ข้อความ และซอฟต์แวร์กับระบบอื่นภายนอกเครือข่ายได้ง่าย
7.สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูงยิ่งขึ้น (ขึ้นอยู่กับสายสื่อสาร และ รูปแบการเชื่อมโยงเครือข่าย
3.ง่ายต่อการควบคุม
1.สิทธิหรือขอบเขตในการเข้าใช้งานในเครือข่ายสามารถกำหนด และควบคุมได้จากผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมเครือข่ายเพียงคนเดียว
2. ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องต่างสามารถทำงานร่วมกันได้
3. ระบบมีความเชื่อถือได้สูง
4. สามารถทำการขยายระบบเพิ่มจุดผู้ใช้ในเครือข่ายได้ง่าย
5. เหมาะสมกับระบบพนักงานอัตโนมัติ (Office Automatic หรือ OA)
3.***ข้อเสีย***
1. ยังมีระบบอื่นที่สามารถทำงานได้เช่นเดียวกับระบบแลน เช่นระบบ Online สวิชชิ่งดิจิทอง PABX
2. ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับระบบแลนในปัจจุบันยังพัฒนาได้ไม่เทียบเท่ากับวอฟแวร์ระบบของเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ หรือเมนเฟรมที่มีมาก่อน และราคาซอฟต์แวร์ของระบบแลนยังมีราคาสูงอยู่มาก
3. ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลยังไม่ดีพอ เมื่อเทียบกับระบบในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์หรือเมนเฟรม
4. เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ละอุปกรณ์อื่น ๆ มีความหลากหลายอยู่มาก จึงยากต่อการควบคุมให้มีมาตรฐานเช่นเดียวกัน และยุ่งยากต่อการดูแลรักษา
5. ระบบฐานข้อมูลเป็นกระจายปามจุดผู้ใช้ต่าง ๆ จึงทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามประสิทธิภาพ
แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบแลนให้มีความทันสมัยมากขึ้นทั้งทางด้าน ซอฟต์แวร์ การควบคุม และมาตรฐาน เพื่อแก้ปัญหาข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment